ตะไคร้หอม
ตะไคร้หอม หรือบางท้องถิ่นเรียกว่าคะไคร้แดงหรือตะไคร้มะขูด เป็นพืชล้มลุก ที่มีหรัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นจะตั้งตรงและจะแตกออกมาเป็นกอ ที่โคนจะเป็นกาบเป็นชั้นๆ เหมือนตะไคร้บ้าน ลำต้นเป็นสีแดงยาว สูงประมาณ 2 เมตร มีใบยาวกว่าตะไคร้บ้าน ลักษณะใบแคบ ยาว 1 เมตร กว้าง 5 - 20 มิลลิเมตร สีเขียว ผิวเกลี้ยง มีกลิ่นหอมตรงรอยต่อระหว่างใบกับกาบ มีแผ่นรูปไข่ปลาปลายตัดยื่นอกมายาวประมาณ 2 มิลลิเมตร มีขนาดกาบหุ้มติดทน กาบล่างสุดเกยซ้อนกัน เมื่อแห้งจะม้วนขึ้น ดอกออกเป็นช่อฝอยคล้ายดอกอ้อ ขนาดยาวประมาณ 2 ฟุต มีใบประดับคล้ายกาบรองรับอยู่ ตะไคร้หอมมี 2 พันธุ์ คือ
- ตะไคร้หอมพันธุ์ชวา ใช้เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
- ตะไคร้หอมพันธุ์ศรีลังกา ใช้เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ในตะไคร้หอม มีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ไซโทรเนเลล ไซโทรเนลอล เจอรานิออล นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญอื่นๆ คือ เจอรานิเอล พีนีนลิโมนีน บอร์นีออล คูมาริน
สารเหล่านี้ประสิทธิภาพในการไล่แมลงศัตรูพืช เช่น หนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาวและแมลงในโรงเก็บ สามารถไล่ยุงและแมลงวัน รวมทั้งกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรีย
การใช้ตะไคร้หอมป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทำได้ดังนี้
1) นำใบและต้นผึ่งลมจนแห้ง แล้วบดละเอียด นำมาโรคโคนต้น หรือคลุกเมล็ดธัญพืช ใช้ไล่แมลง
2) ใบตะไคร้หอมบดละเอียด 400 กรัม แช่น้ำ 8 ลิตร ทิ้งไว้ค้างคืน กรองเอากากออกนำมาฉีดพ่น สามารถไล่หนอนไยผัก
3) ตะไคร้หอม 4 กิโลกรัม ผสมสะเดาบด 2 กิโลกรัมต่อน้ำ 75 ลิตร สกัดโดยใช้เครื่องสกัดสารกำจัดศัตรูพืชพลังงานแสงอาทิตย์ 1 วัน โดยใส่เมล็ดสะเดาบด เมื่ออุณหภูมิของน้ำในหม้อต้มต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันการสลายตัวของสารอาซาไดเรคติน รุ่งเช้า ไขน้ำออก นำน้ำไปฉีดพ่นไล่แมลง
ข้างต้นนี้ เป็นเพียงตัวอย่างของพืชสมุนไพร และพืชพื้นบ้านบางชนิดที่สามารถนำส่วนต่างๆ มาใช้ในการป้องกันกำจัด หรือควบคุมศัตรูพืชได้ สามารถทำได้ง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะไล่แมลงหรือกำจัดแมลง และโรคพืชได้เป็นอย่างดี ใช้แล้วไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้ใช้และผู้บริโภค ราคาไม่แพง
โรคของมะนาวและวิธิการรักษา,โรคในมะนาว,รวมโรคของพืชตระกูลส้ม,โรคของพืช,disease in lemon,การกำจัดโรคของมะนาว,
สมุนไพร่กำจัดศัตรูมะนาวพวกสัตว์แมลง
เพลี้ยไฟ - ยางมะละกอ สะเดา สาบเสือ ยาสูบ หนอนตายหยาก กระเทียม
หนอนผีเสื้อต่างๆ - มันแกว หนอนตายหยาก สะเดา คูน
หนอนแก้ว - ใบมะเขือเทศ ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม
หนอนกัดใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
หนอนม้วนใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
สมุนไพรไล่แมลง เป็นพืชที่มีส่วนต่าง ๆ เช่น ใบ ราก เปลือก ดอก ผล ที่มีสารออกฤทธิ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
การใช้สมุนไพรไล่แมลงหรือกำจัดศัตรูพืชควรใช้ให้เหมาะสม คือ เลือกใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
ดังนั้นก่อนที่จะนำสมุนไพรแต่ละชนิดมาในในการป้องกันกำจัดหรือไล่แมลงศัตรูพืช ควรมีการศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่าจะนำส่วนไหนมาใช้และใช้ในช่วงเวลาใดจึงจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดแมลง เพราะบางคนรู้เพียงว่าใช้พืชตัวนั้นตัวนี้ในการป้องกันกำจัดแต่ไม่ทราบว่าใช้ส่วนใดเวลาใดจึงจะเกิดประสิทธิภาพดีที่สุด ในตอนต่อไปผู้เขียนจะได้กล่าวถึงพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการป้องกันกำจัดโรคพืชและวิธีการทำน้ำสมุนไพรไล่และป้องกันกำจัดศัตรูพืช(ทั้งโรคและแมลง)ด้วยสูตรต่างๆกัน
หนอนผีเสื้อต่างๆ - มันแกว หนอนตายหยาก สะเดา คูน
หนอนแก้ว - ใบมะเขือเทศ ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม
หนอนกัดใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
หนอนม้วนใบ - ยี่โถ สะเดา หนอนตายหยาก ใบมะเขือเทศ คูน ตะไคร้หอม
สมุนไพรไล่แมลง เป็นพืชที่มีส่วนต่าง ๆ เช่น ใบ ราก เปลือก ดอก ผล ที่มีสารออกฤทธิ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
- ผลทางตรง จะมีผลกระทบต่อระบบประสาท และระบบหายใจ ทำให้แมลงตายทันที
- ผลทางอ้อม จะมีผลต่อระบบอื่น ๆ โดยการไปยับยั้งการกินอาหาร การลอกคราบ การเจริญเติบโตของแมลง
การใช้สมุนไพรไล่แมลงหรือกำจัดศัตรูพืชควรใช้ให้เหมาะสม คือ เลือกใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรในช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
- ดอก ควรเก็บในระยะดอกตูมเพิ่งจะบาน
- ผล ควรเก็บในระยะที่ผลยังไม่สุก เพราะสารต่างยังไม่ถูกส่งไปเลี้ยงเมล็ด
- เมล็ด ควรเก็บในระยะที่ผลสุกงอมเต็มที่ ซึ่งจะมีระยะที่เมล็ดแก่เต็มที่ และจะมีสารต่าง ๆ สะสมอยู่ในปริมาณมาก
- หัวและราก ควรเก็บในระยะที่เริ่มมีดอก เพราะระยะนี้ต้นพืชจะมีการสะสมสารต่าง ๆ ไว้ที่รากและควรเก็บในฤดูหนาวปลายฤดูร้อน เพราะเป็นช่วงที่กระบวนสังเคราะห์แสงหยุดทำงาน
- เปลือก ควรเก็บก่อนที่จะมีการผลิใบใหม่และควรเก็บในฤดูร้อนและฤดูฝน
ดังนั้นก่อนที่จะนำสมุนไพรแต่ละชนิดมาในในการป้องกันกำจัดหรือไล่แมลงศัตรูพืช ควรมีการศึกษาหาข้อมูลให้ดีเสียก่อนว่าจะนำส่วนไหนมาใช้และใช้ในช่วงเวลาใดจึงจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดแมลง เพราะบางคนรู้เพียงว่าใช้พืชตัวนั้นตัวนี้ในการป้องกันกำจัดแต่ไม่ทราบว่าใช้ส่วนใดเวลาใดจึงจะเกิดประสิทธิภาพดีที่สุด ในตอนต่อไปผู้เขียนจะได้กล่าวถึงพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการป้องกันกำจัดโรคพืชและวิธีการทำน้ำสมุนไพรไล่และป้องกันกำจัดศัตรูพืช(ทั้งโรคและแมลง)ด้วยสูตรต่างๆกัน
สะเดา
เกษตรกรไทย รู้จักนำสารสกัดจากพืชมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชมานานแล้ว ถือเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน แม้ในช่วงเวลาหนึ่ง จะมีสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเข้ามาทดแทน เพราะใช้ได้สะดวก และเห็นผลรวดเร็วทันใจ แต่ในยุคนี้ที่หลายฝ่ายตระหนักเรื่องความปลอดภัยของสุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม มีการรณรงค์ให้ลดปริมาณการใช้สารเคมีลง สารสกัดจากพืชจึงกลับมามีบทบาทในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแทนสารเคมีอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย
กรมวิชาการเกษตร โดยสำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ได้เห็นความสำคัญในการลดการใช้สารเคมี และสนับสนุนให้มีการใช้สารสกัดจากพืชแทนการใช้สารเคมี จึงได้ศึกษาวิจัย นำพืชสมุนไพร หรือพืชพื้นเมืองที่มีศักยภาพในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช มาใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยต่อผู้ใช้คือเกษตรกรแล้ว ยังปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และราคาถูกกว่าสารเคมีด้วย จึงขอแนะนำพืชบางชนิดที่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ เช่น สะเดา สาบเสือ หนอนตายหยาก ขมิ้นชัน ข่า และตะไคร้หอม เป็นต้น
สะเดา
สะเดา เป็นพืชยืนต้น วงศ์เดียวกบมะฮอกกานี ในประเทศไทยมีสะเดา 3 ชนิด คือ
- สะเดาอินเดีย ลักษณะขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย แหลม โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียว ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอด ดอกสีขาว
มีกลิ่นหอม ปกติจะออกดอกปีละครั้งประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน และผลจะสุกประมาณเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม
- สะเดาไทย ใบจะโตกว่าสะเดาอินเดีย สีเขียวเข้ม หนา และทึบ ขอบใบหยักน้อย ดอกสีขาว ออกดอกเดือนธันวาคม – มกราคม ผลจะสุกในเดือนเมษายน – พฤษภาคม
- สะเดาช้าง หรือไม้เทียม ต้นสูง 30-40 เมตร ใบเป็นช่อ ก้านใบยาว ใบย่อยมีรูปทรงเป็นรูปหอกแกมใบมน ปลายใบค่อนข้างแหลม เป็นกิ่งสั้นๆ ฐานใบเบี้ยวไม่เท่ากัน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย สีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อยาว สีขาวอมเขียวอ่อน ออกดอกเดือนมีนาคม และผลจะสุกในเดือนพฤษภาคม เป็นไม้โตเร็วที่พบมากในภาคใต้ของไทย ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป สะเดามีสาระสำคัญ คือ อาซาไดแรคติน ซาแลนนิน เมเลีย ไตรออล และนิมบิน สารเหล่านี้มีประสิทธิภาพดังนี้
- ยับยั้งการลอกคราบของแมลง โดยไปขัดขวางและยับยั้งการสร้างฮอร์โมนที่ใช้ในการลอกคราบ
- ยับยั้งการกินอาหารชนิดถาวร จนทำให้แมลงตายในที่สุด
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ หนอน และดักแด้
- เป็นสารไล่แมลง
- ยับยั้งการวางไข่ของแมลง ทำให้ปริมาณไข่ลดลง
- สารสกัดจากสะเดา สามารถป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชต่างๆ ดังนี้
วิธีใช้
* เมล็ดสะเดาบดละเอียดอัตรา 1,000 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาส่วนน้ำไปพ่นในแปลงปลูกพืช (ใช้ได้ผลในแปลงปลูกที่ศัตรูพืชระบาดไม่รุนแรง และหนอนมีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงไม่มาก ควรพ่นก่อนมีการระบาด หรือมีการระบาดเพียงเล็กน้อย และพ่นติดต่อกันไปทุก 7 วัน ในแหล่งที่ระบาดอย่างรุนแรง)
** เมล็ดสะเดาบดละเอียดอัตรา 20 กิโลกรัม ต่อไร่ (หว่านรอบต้นในอัตรา 2.5 กรัมต่อหลุม สามารถที่จะกำจัดตัวอ่อนของด้วงหมัดผักที่อาศัยอยู่ในดินได้ดี ส่วนตัวเต็มวัย ที่ทำลายส่วนใบ สารสกัดสะเดาไม่สามารถป้องกันกำจัดได้)
กรมวิชาการเกษตร โดยสำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ได้เห็นความสำคัญในการลดการใช้สารเคมี และสนับสนุนให้มีการใช้สารสกัดจากพืชแทนการใช้สารเคมี จึงได้ศึกษาวิจัย นำพืชสมุนไพร หรือพืชพื้นเมืองที่มีศักยภาพในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช มาใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยต่อผู้ใช้คือเกษตรกรแล้ว ยังปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และราคาถูกกว่าสารเคมีด้วย จึงขอแนะนำพืชบางชนิดที่สามารถนำมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ เช่น สะเดา สาบเสือ หนอนตายหยาก ขมิ้นชัน ข่า และตะไคร้หอม เป็นต้น
สะเดา
สะเดา เป็นพืชยืนต้น วงศ์เดียวกบมะฮอกกานี ในประเทศไทยมีสะเดา 3 ชนิด คือ
- สะเดาอินเดีย ลักษณะขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย แหลม โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมเรียว ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอด ดอกสีขาว
มีกลิ่นหอม ปกติจะออกดอกปีละครั้งประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน และผลจะสุกประมาณเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม
- สะเดาไทย ใบจะโตกว่าสะเดาอินเดีย สีเขียวเข้ม หนา และทึบ ขอบใบหยักน้อย ดอกสีขาว ออกดอกเดือนธันวาคม – มกราคม ผลจะสุกในเดือนเมษายน – พฤษภาคม
- สะเดาช้าง หรือไม้เทียม ต้นสูง 30-40 เมตร ใบเป็นช่อ ก้านใบยาว ใบย่อยมีรูปทรงเป็นรูปหอกแกมใบมน ปลายใบค่อนข้างแหลม เป็นกิ่งสั้นๆ ฐานใบเบี้ยวไม่เท่ากัน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย สีเขียวเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อยาว สีขาวอมเขียวอ่อน ออกดอกเดือนมีนาคม และผลจะสุกในเดือนพฤษภาคม เป็นไม้โตเร็วที่พบมากในภาคใต้ของไทย ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป สะเดามีสาระสำคัญ คือ อาซาไดแรคติน ซาแลนนิน เมเลีย ไตรออล และนิมบิน สารเหล่านี้มีประสิทธิภาพดังนี้
- ยับยั้งการลอกคราบของแมลง โดยไปขัดขวางและยับยั้งการสร้างฮอร์โมนที่ใช้ในการลอกคราบ
- ยับยั้งการกินอาหารชนิดถาวร จนทำให้แมลงตายในที่สุด
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ หนอน และดักแด้
- เป็นสารไล่แมลง
- ยับยั้งการวางไข่ของแมลง ทำให้ปริมาณไข่ลดลง
- สารสกัดจากสะเดา สามารถป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชต่างๆ ดังนี้
วิธีใช้
* เมล็ดสะเดาบดละเอียดอัตรา 1,000 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร แช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาส่วนน้ำไปพ่นในแปลงปลูกพืช (ใช้ได้ผลในแปลงปลูกที่ศัตรูพืชระบาดไม่รุนแรง และหนอนมีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงไม่มาก ควรพ่นก่อนมีการระบาด หรือมีการระบาดเพียงเล็กน้อย และพ่นติดต่อกันไปทุก 7 วัน ในแหล่งที่ระบาดอย่างรุนแรง)
** เมล็ดสะเดาบดละเอียดอัตรา 20 กิโลกรัม ต่อไร่ (หว่านรอบต้นในอัตรา 2.5 กรัมต่อหลุม สามารถที่จะกำจัดตัวอ่อนของด้วงหมัดผักที่อาศัยอยู่ในดินได้ดี ส่วนตัวเต็มวัย ที่ทำลายส่วนใบ สารสกัดสะเดาไม่สามารถป้องกันกำจัดได้)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)